ไข้เลือดออก ภัยร้ายที่กำลังรุนแรง
ไข้เลือดออกเริ่มส่งสัญญาณระบาดช่วง เดือนกรกฎาคม กันยายน 2558 พบผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2558 จำนวน 102,762 ราย เสียชีวิตแล้ว 102 ราย จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นกว่าช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา พบผู้ป่วยส่วนมากมีอายุ 10-14 ปี ใน กทม.พบเกือบร้อยละ 40
ตารางที่ 1 : แสดงแนวโน้มผู้ป่วยไข้เลือดออก จากสำนักงานโรคติดต่อโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
# |
2553 |
2554 |
2555 |
2556 |
2557 |
2558 |
จำนวนผู้ป่วย |
113,014 |
68,386 |
76,351 |
151,502 |
40,278 |
102,762 |
จำนวนผู้เสียชีวิต |
139 |
62 |
82 |
133 |
41 |
103 |
* ข้อมูลปี 2558 เป็นข้อมูลผู้ป่วยสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 – 2 พฤศจิกายน 2558
ตารางที่ 2 : สถานการณ์การเฝ้าระวังทางห้องปฏิบัติการ โรคไข้เลือดออกเดงกี โรงพยาบาลในเครือ บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) ข้อมูลสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2558
# |
2554 |
2555 |
2556 |
2557 |
2558 |
ผู้ป่วยยืนยันการตรวจพบเชื้อไข้เลือดออกเดงกี |
6,600 |
9,961 |
13,018 |
7,699 |
11,148 |
ผู้ป่วยอาการคล้ายไข้เลือดออกเดงกี |
32,526 |
41,995 |
58,093 |
42,578 |
46,312 |
อัตราการป่วย(%) |
20.29% |
23.72% |
22.41% |
18.08% |
24.07% |
ในปีนี้สภาพอากาศร้อนเร็วกว่าทุกปีที่ผ่านมา สิ่งที่น่าห่วง คือ โรคไข้เลือดออก ซึ่งมีสาเหตุจากยุงลาย มีข้อมูลการศึกษาทางวิชาการพบว่าขณะนี้ตัวลูกน้ำยุงลายจะกลายเป็นตัวยุงเร็วกว่าอดีตที่ใช้เวลาประมาณ 7 วัน จะใช้เวลาลดลงเป็นประมาณ 5 วัน จึงทำให้ปริมาณยุงตัวโตเต็มวัยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการวิเคราะห์สถานการณ์ของโรคไข้เลือดออกในปี 2558 พบว่าโรคมีสัญญาณอาจเกิดการระบาดในปีนี้ได้ โดยในช่วงเดือนมกราคมจนถึงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2558 มีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเข้ารักษาในโรงพยาบาลสะสมรวม 102,762 ราย เสียชีวิต 102 ราย มากที่สุดในภาคกลางมีร้อยละ 46 ของผู้ป่วยทั้งหมด รองลงมาคือที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ น้อยที่สุดคือที่ภาคใต้ พบทั้งในเมือง และชนบท โดยสถิติผู้ป่วยใน 10 เดือนแรกปีนี้สูงกว่าช่วงเดียวกันในปี 2552 ถึงร้อยละ 199 เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกในปีนี้ พบทุกกลุ่มอายุ แต่มีแนวโน้มพบในเด็กอายุ 10-14 ปีมากขึ้น
สาเหตุ
- เชื้อไวรัสเดงกีที่ทำให้เกิดไข้เลือดออกมี 4 สายพันธุ์ ซึ่งในประเทศไทยถือว่าโรคไข้เลือดออกเป็นโรคประจำถิ่น มีครบทุกสายพันธุ์ หากติดเชื้อสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่ง จะทำให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานสำหรับสายพันธุ์นั้นได้ตลอดชีวิต แต่ป้องกันสายพันธุ์อื่นได้ไม่เกิน 1 ปี ดังนั้นคนคนหนึ่ง ยังสามารถติดเชื้อสายพันธุ์ที่เหลือได้และการติดเชื้อครั้งที่ 2 นี้ มักเกิดอาการที่รุนแรงมากกว่าการติดเชื้อครั้งแรก
- แม้ว่าเคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อนก็สามารถเป็นซ้ำได้ หากไม่ได้ป้องกันยุงลายกัด หรือไม่ได้กำจัดลูกน้ำ และทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายที่เป็นภาชนะใส่น้ำ หรือภาชนะที่มีน้ำขังในบ้าน และบริเวณรอบบ้าน
- โดยทั่วไปโรคนี้จะพบชุกชุมในฤดูฝน ในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ๆ อาจพบโรคนี้ได้ประปรายตลอดทั้งปี การที่มีโรคนี้ชุกชุมในฤดูฝน เพราะมีจำนวนยุงเพิ่มมากขึ้น และเพราะการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ และความชื้น จะมีผลต่อจำนวนครั้งของการกัด นอกจากนี้ในฤดูฝน เด็กอาจจะอยู่ในบ้านในเวลากลางวันมากขึ้น โอกาสที่เด็กจะถูกยุงกัดจะมากขึ้นได้
- โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อเดงกีมีการระบาดอยู่แล้ว 4 สายพันธุ์ดั้งเดิม ซึ่งการระบาดสายพันธุ์ไหนจะมากกว่ากันขึ้นอยู่กับพื้นที่ บางครั้งอาจเกิดความเข้าใจกันไปว่าเป็นสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งแท้จริงเป็นสายพันธุ์ที่มีอยู่แล้วในประเทศไทย
- โรคนี้เกิดขึ้นได้ทั้งฤดูฝน และฤดูแล้ง ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายของอุณหภูมิการเก็บกักน้ำใช้ในภาวะแล้งหากไม่ถูกวิธี ปิดฝาไม่สนิทอาจกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้ และอย่างที่บอกไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อเดงกี มียุงลายบ้าน และยุงลายสวนเป็นพาหะนำโรค ซึ่งยุงเหล่านี้หากินตอนกลางวันการแพร่ระบาด นอกจากจะมียุงลายเป็นพาหะสำคัญ คนที่เป็นโรคไข้เลือดออกยังเป็นสื่อกลางแพร่เชื้อ ยิ่งช่วงเทศกาลที่มีการเดินทางย้ายถิ่นช่วงนี้จากการติดตามสถานการณ์โรคพบว่า มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น เป็นการแพร่เชื้อโดยแอบแฝง ซึ่งการแพร่เชื้อลักษณะนี้มีสัดส่วนมากกว่าการเกิดจากยุง
- นอกจากไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อเดงกี ยังมีไข้เลือดออกมาเบิร์ก หรือมาร์บวก ซึ่งเชื่อว่านำเชื้อโดยลิงแอฟริกัน ไข้เลือดออกชนิดนี้มีอันตรายรุนแรงมากๆ ผู้ที่ติดเชื้อจะเสียชีวิตลงในเวลารวดเร็ว ขณะนี้พบในประเทศแองโกลา ทวีปแอฟริกาไม่พบในประเทศไทย ไข้เลือดออกแต่ละคนจะมีอาการไม่เหมือนกันแล้วแต่สภาพของแต่ละบุคคลที่จะตอบสนองกับเชื้อนั้นๆ ส่วนสายพันธุ์ที่ 4 ความรุนแรงโดยเฉลี่ยจะมีไม่มากต่างจากสายพันธุ์ 2 และ 3 ที่มีความรุนแรงกว่า
แหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
- ยุงลายเป็นตัวการสำคัญในการนำโรคไข้เลือดออกในประเทศไทย ยุงลายชอบอาศัยอยู่ตามบ้านเรือน บริเวณรอบๆ บ้าน หรือภายในบ้านแหล่งเพาะพันธุ์ได้แก่ ภาชนะที่มีน้ำขังค่อนข้างสะอาด เช่น ตุ่มน้ำ ถังซีเมนต์ใส่น้ำอาบ น้ำรองขาตู้กับข้าว ยางรถยนต์เก่าๆ กระป๋อง เป็นต้น ช่วงเวลาที่ยุงลายชอบออกหากินที่สุด คือช่วงเช้าเวลาประมาณ 9.00 – 11.00 น. และช่วงบ่ายประมาณ 14.00 – 16.00 น.
- นิสัยของยุงแตกต่างจากแมลงชนิดอื่นๆ บางประการ ยุงตัวผู้ และยุงตัวเมียจะมีจำนวนเท่าๆ กัน ส่วนใหญ่แล้วตัวผู้จะออกจากลูกน้ำก่อน หลังจากตัวเมียออกจากลูกน้ำไม่นานก็จะผสมพันธุ์กันได้ นับเป็นสัตว์ที่ผสมพันธุ์ได้ในเวลาอันรวดเร็วเมื่อเทียบกับอายุขัย
- ยุงตัวเมียเท่านั้นที่ดูดกินเลือด ตัวเมียจะบินได้ไกล และมีชีวิตยาวกว่าตัวผู้ ความสามารถในการบินของยุงมีลักษณะเฉพาะของยุงแต่ละชนิด มีความสำคัญในแง่ระบาดวิทยา และการป้องกันโรค เช่น ยุงลายจะไม่บินไกลมักอาศัยอยู่ตามบ้านเรือน ส่วนยุงก้นปล่อง และยุงรำคาญ จะบินได้ไกล พบว่ายุงก้นปล่องบางชนิดบินได้ไกล 10-20 กม. นอกจากนี้ยังมีบางชนิดสามารถบินไกลถึง 32 กม. หรือไกลกว่านั้นการกินเลือดของยุงแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะ เช่น บางชนิดกินเลือดวัว ควาย ม้า และสัตว์เลี้ยงต่างๆ บางชนิดกินเลือดคน เวลาที่ออกหากินก็ไม่เหมือนกัน บ้างก็ออกหากินเวลากลางคืน บ้างก็ออกหากินเวลากลางวัน
- โดยทั่วไปวงจรชีวิตของยุงมีระยะเวลาประมาณ 1 – 2 เดือน แต่บางขณะหากสภาพภูมิอากาศไม่อำนวย ชีวิตของยุงก็อาจจะสั้นเข้ามาอีกตามสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
อาการ
- อาการทั่วไปของโรคนี้ที่เกิดในเด็ก และผู้ใหญ่จะไม่แตกต่างกัน กล่าวคือ มีไข้สูงมาก กินยาแล้วไข้ไม่ลด อาจมีจุดเลือดออกเล็กๆ สีแดงที่ผิวหนังกระจายตามตัว เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน แต่ในผู้ใหญ่มักจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดกระบอกตามาก มักเป็นรุนแรงกว่าเด็ก และจะมาพบแพทย์ช้า เนื่องจากไม่คิดว่าตัวเองป่วยเป็นไข้เลือดออก มักจะไปซื้อยากินเองก่อนเมื่อรู้สึกมีไข้ หรือไม่สบายตัว ทำให้อาการหนัก รวมทั้งมักใช้ยาที่มีฤทธิ์แรงทั้งแก้ปวด และลดไข้ ทำให้ระคายเคือง และมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปี ที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น แผลในกระเพาะอาหาร โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงหากเป็นไข้เลือดออกก็ยิ่งทำให้อาการหนักมากขึ้น
- ตามปกติทั่วไปหลังจากมีอาการไข้ แล้วไข้เริ่มลดลง แสดงว่าอาการดีขึ้น แต่หากป่วยเป็นไข้เลือดออก ในระยะที่ไข้ลดลง จะเป็นช่วงที่มีอันตรายมาก ขอให้ประชาชนสังเกตว่าหากระยะที่ไข้ลดลง แต่ผู้ป่วยยังมีอาการซึม อ่อนเพลีย มีอาการปวดท้อง แม้จะรู้สึกตัวดี พูดคุยได้ กินอาหารได้ก็ตาม จะต้องรีบพาไปพบแพทย์โดยเร็ว เพราะหากไม่ไปพบแพทย์ภายใน 10-12 ชั่วโมง อาจเกิดอาการช็อค มีอาการตับวาย ไตวายแทรกซ้อน จนเสียชีวิตได้
- ระยะไข้ ทุกรายจะมีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ส่วนใหญ่ไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส ไข้อาจสูงถึง 40-41 องศาเซลเซียส ซึ่งบางรายอาจมีชักเกิดขึ้นโดยเฉพาะในเด็กที่เคยมีประวัติชักมาก่อน หรือในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน ผู้ป่วยมักจะมีหน้าแดง อาจตรวจพบคอแดงได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่มีอาการน้ำมูกไหล หรืออาการไอ ซึ่งช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคจากหัดในระยะแรก และโรคระบบทางเดินหายใจได้ เด็กโตอาจบ่นปวดศีรษะ ปวดรอบกระบอกตา ในระยะไข้นี้ อาการทางระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย คือ เบื่ออาหาร บางรายอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย ซึ่งในระยะแรกจะปวดโดยทั่่วๆ ไป และอาจปวดที่ชายโครงขวาในระยะที่มีตับโต ส่วนใหญ่ไข้จะสูงลอยอยู่ 2-7 วัน ประมาณร้อยละ 15 อาจมีไข้สูงนานเกิน 7 วัน อาจพบมีผื่นแดงซึ่งมีลักษณะคล้ายผื่นหัดเยอรมันได้
- อาการเลือดออกที่พบบ่อยที่สุดคือ ที่ผิวหนัง โดยจะตรวจพบว่า เส้นเลือดเปราะ แตกง่าย การทำทดสอบให้ผลบวกได้ตั้งแต่ 2-3 วันแรกของโรค ร่วมกับมีจุดลือดออกเล็กๆ กระจายอยู่ตามแขน ขา ลำตัว รักแร้ อาจมีเลือดกำเดาหรือเลือดออกตามไรฟัน ในรายที่รุนแรงอาจมีอาเจียน และถ่ายอุจจาระเป็นเลือดซึ่งมักจะเป็นสีดำ อาการเลือดออกในอางเดินอาหาร ส่วนใหญ่จะพบร่วมกบภาวะช็อกที่เป็นอยู่นาน ส่วนใหญ่จะคลำพบตับโตได้ประมาณวันที่ 3-4 นับแต่เริ่มป่วย ในระยะที่ยังมีไข้อยู่ ตับจะนุ่ม และกดเจ็บ
- ระยะวิกฤต/ช็อก เป็นระยะที่มีการรั่วของพลาสมาซึ่งจะพบทุกรายในผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกี โดยระยะรั่วจะมีประมาณ 24-48 ชั่วโมง ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีจะมีอาการรุนแรง มีภาวะการไหลเวียนโลหิตล้มเหลวเกิดขึ้น เนื่องจากมีการรั่วของพลาสมาออกไปยังช่องปอด/ช่องท้องมาก ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่มีไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว เวลาที่เกิดช็อกจึงขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่มีไข้ อาจเกิดได้ตั้งแต่วันที่ 3 ของโรค (ถ้ามีไข้ 2 วัน) หรือเกิดวันที่ 8 ของโรค (ถ้ามีไข้ 7 วัน) ผู้ป่วยจะมีอาการเลวลง เริ่มมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเบาเร็ว ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง ตรวจพบ pulse pressure แคบเท่ากับหรือน้อยกว่า 20 มม.ปรอท (ค่าปกติ 30-40 มม.ปรอท) โดยมีความดันตัวล่างเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (BP 110/90, 100/80 มม.ปรอท) ผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีที่อยู่ในภาวะช็อกส่วนใหญ่จะมีภาวะรู้สติดี พูดรู้เรื่อง อาจบ่นกระหายน้ำ บางรายอาจมีอาการปวดท้องเกิดขึ้นอย่างกระทันหันก่อนเข้าสู่ภาวะช็อก ซึ่งบางครั้งอาจทำให้วินิจฉัยโรคผิดเป็นภาวะทางศัลยกรรม ภาวะช็อกที่เกิดขึ้นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยจะมีอาการเลวลง รอบปากเขียว ผิวสีม่วงๆ ตัวเย็น ซีด จับชีพจร และ/หรือวัดความดันไม่ได้ ภาวะรู้สติเปลี่ยนไป และจะเสียชีวิตภายใน 12-24 ชั่วโมง หลังเริ่มมีภาวะช็อก หากว่าผู้ป่วยได้รับการรักษาช็อกอย่างทันท่วงที และถูกต้องก่อนที่จะเข้าสู่ระยะรุนแรง ส่วนใหญ่ก็จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
- ในรายที่ไม่รุนแรง เมื่อไข้ลดลง ผู้ป่วยอาจจะมีมือเท้าเย็นเล็กน้อยร่วมกับมีการเปลี่ยนแปลงของชีพจร และความดันโลหิตซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงในระบบการไหลเวียนของโลหิต เนื่องจากมีการรั่วของพลาสมาออกไป แต่รั่วไม่มากจึงไม่ทำให้เกิดภาวะช็อก ผู้ป่วยเหล่านี้เมื่อให้การรักษาในช่วงระยะสั้นๆ ก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
- ระยะฟื้นตัว ระยะฟื้นตัวของผู้ป่วยค่อนข้างเร็ว ในผู้ป่วยที่ไม่ช็อก เมื่อไข้ลดส่วนใหญ่ก็จะดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยช็อกถึงแม้จะมีความรุนแรง ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องก่อนที่จะเข้าสู่ระยะรุนแรง จะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อการรั่วของพลาสมาหยุด Hct จะลงมาคงที่ และชีพจรจะช้าลง และแรงขึ้น ความดันเลือดปกติ มี pulse pressure กว้าง จำนวนปัสสาวะจะเพิ่มมากขึ้น ผู้ป่วยจะมีความอยากรับประทานอาหาร ระยะฟื้นตัวมีช่วงเวลาประมาณ 2-3 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน ถึงแม้จะยังตรวจพบน้ำในช่องปอดและช่องท้อง ในระยะนี้อาจตรวจพบชีพจรช้า อาจมีผื่นที่มีลักษณะคือ มีวงกลมเล็กๆ สีขาวของผิวหนังปกติท่ามกลางผื่นสีแดง ระยะทั้งหมดของไข้เลือดออกเดงกีที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนประมาณ 7-10 วัน
การรักษา
- ในระยะไข้สูง บางรายอาจมีการชักได้ถ้าไข้สูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่มีประวัติเคยชัก หรือในเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน หากจำเป็นต้องให้ยาลดไข้ ควรใช้ยาพวก พาราเซตามอล ห้ามใช้ยาพวกแอสไพริน และ ibuprofen เพราะอาจจะทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติ และอาจระคายกระเพาะทำให้เลือดออกง่ายขึ้น และที่สำคัญอาจทำให้เกิดอาการทางสมอง ควรใช้ยาลดไข้เป็นครั้งคราวเวลาที่ไข้สูงเท่านั้น เพื่อให้ไข้ที่สูงมากลดลงต่ำกว่า 39 องศาเซลเซียส การใช้ายาลดไข้มากเกินไปจะมีภาวะเป็นพิษต่อตับได้ ควรจะใช้การเช็ดตัวลดไข้ร่วมด้วย ยาลดไข้ไม่สามารถทำให้ระยะไข้สั้นลงได้
- จะต้องติดตามดูอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้ตรวจพบ และป้องกันภาวะช็อกได้ทันเวลา ช็อกมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับไข้ลดลง ประมาณตั้งแต่วันที่ 3 ของการป่วยเป็นต้นไป ทั้งนี้แล้วแต่ระยะเวลาที่เป็นไข้ ถ้าไข้ 7 วันก็อาจช็อกวันที่ 8 ได้ ควรแนะนำให้ผู้ปกครองทราบอาการนำของช็อก ซึ่งอาจจะมีอาการเบื่ออาหารมากขึ้น ไม่รับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำเลย หรือถ่ายปัสสาวะน้อยลง มีอาการปวดท้องอย่างมาก กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ควรแนะนำให้นำส่งโรงพยาบาลทันทีที่มีอาการเหล่านี้
- เมื่อผู้ป่วยไปตรวจที่สถานพยาบาลที่ให้การรักษาได้ แพทย์ต้องตรวจเลือดดูปริมาณเกล็ดเลือด และ Hematocrit และอาจนัดมาตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของเกล็ดเลือด และ Hematocrit เป็นระยะๆ เพราะถ้าปริมาณเกล็ดเลือดเริ่มลดลง และ Hematocrit เริ่มสูงขึ้น เป็นเครื่องชี้บ่งว่าพลาสมาเริ่มรั่วออกจากเส้นเลือด และอาจช็อกได้ จำเป็นต้องให้สารน้ำชดเชย โดยทั่วไปแล้วไม่จำเป็นต้องรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาลทุกราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรกที่ยังมีไข้ สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอก โดยให้ยาลดไข้รับประทาน และแนะนำให้ผู้ปกครองดูแลเผ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด และพามารับการตรวจติดตามอาการตามที่แพทย์นัด
- ในรายที่ไข้ลด และมีระดับ Hematocrit เพิ่มขึ้นมากกว่าหรือเท่ากับ 10-20% แต่ไม่มีภาวะช็อก และผู้ป่วยไม่สามารถดื่มน้ำเกลือได้ ต้องให้สารน้ำทางหลอดเลือด โดยจัดปริมาณ และเวลาการให้ตามการรั่วของพลาสมา ซึ่งประเมินจากอาการ และปริมาณปัสสาวะที่ออกมา ทั้งนี้จะต้องมีการปรับลดปริมาณ และความเร็วตลอดช่วงเวลา 24-48 ชม. เพื่อหลีกเลี่ยงการให้สารน้ำมากเกินไป
การป้องกัน
- ในการป้องกันโรคไข้เลือดออก ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ดำเนินการป้องกันโรคตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนถึงฤดูกาลระบาดทุกปี คือช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคมเพื่อป้องกันคนไม่ให้ป่วยให้ได้มากที่สุด โดยให้ทุกพื้นที่ช่วยกันลดจำนวนยุงลายให้เหลือน้อยที่สุด
- ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือประชาชนทุกหลังคาเรือน ช่วยกันทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทั้งที่อยู่ในบ้าน เช่นตามแจกันไม้ประดับ น้ำหล่อขาตู้ ต้องเปลี่ยนน้ำทิ้งทุก 7 วัน และแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายรอบๆ บ้าน เช่นที่จานรองกระถางไม้ประดับ รวมทั้งทำลายภาชนะที่อาจเป็นแหล่งให้น้ำขังได้เช่น กระป๋อง กล่องโฟม กะลามะพร้าว ยางรถยนต์ นอนในมุ้งหรือในห้องที่มีมุ้งลวด
- ให้ทุกพื้นที่เฝ้าระวังโรค หากมีรายงานผู้ป่วยไข้เลือดออก ให้ดำเนินการสอบสวนโรค และควบคุมโรคภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้โรคแพร่ระบาด
- พ่นสารเคมีรอบบ้านผู้ป่วยรัศมีอย่างน้อย 100 เมตร กำจัดยุงลายที่มีเชื้อให้หมดโดยเร็วที่สุด เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดโรค
อาการไข้เลือดออกในช่วงแรกไข้สูงคล้ายไข้หวัดใหญ่ การรักษาใช้การเช็ดตัวหากจำเป็นต้องให้ใช้ยาลดไข้ ควรใช้ยาพาราเซตามอล ห้ามใช้แอสไพริน หากพบจุดเลือดออกเล็กๆกระจายตามลำตัวควรพบแพทย์ ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก สิ่งที่ทุกคนทำได้ คือ ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ปิดฝาภาชนะ เปลี่ยนน้ำในภาชนะขัง นอนในมุ้งหรือพ่นสารเคมีรอบบ้านเพื่อไม่ให้โรคแพร่ระบาด
อ้างอิ้ง ......http://bangkokhospitalphitsanulok.com/dengue/